หากโทรศัพท์ดังขึ้นในคราวใด นั่นหมายความว่าต้องมีเรื่องเกิดขึ้นทุกครั้งไป จอห์นยกหูโทรศัพท์ขึ้นมา เขาถามอีกฝ่ายว่ามีธุระอันใด ทว่าคำตอบนั้นกลับแปลกประหลาดเสียจนเขาเกือบจะเผลอกดวางสาย ปลายสายบอกเพียงว่า ‘ถ้าแกคิดจะทำแบบนี้อีก สักวันหนึ่งแกจะต้องจบเห่แน่’ และสายก็ตัดไปเสียอย่างนั้น จากสายที่เขาคิดว่าอาจจะเป็นการก่อกวนจากพวกโรคจิต ก็เริ่มถี่ขึ้น...จากหนึ่งอาทิตย์ต่อหน เป็นทุกสามวัน ทุกสองวัน ทุกวัน และทุกหนึ่งชั่วโมง...ทว่าเมื่อจอห์นติดต่อตำรวจให้หาตัวการ กลับพบว่าความน่าพิศวงของกาลเวลานั้น เพราะเขาพบว่าคนที่โทรศัพท์มาก่อกวนนั้นคือหลานชายของนักธุรกิจจากบริษัทคู่แข่งซึ่งเคยมีปัญหากับบริษัทเขาเมื่อสมัยรุ่นพ่อ แต่ก็น่าแปลกที่ความแค้นตั้งแต่ครั้นก่อนกลับเป็นเขาที่ต้องรับผลนี้แทน และเขาก็ไม่อาจเข้าใจได้เลยว่าเพราะเหตุใดชายผู้นั้นจึงคิดแค้นตระกูลเขายาวนานขนาดนี้ คืนหนึ่ง จอห์นกำลังนั่งทำงานล่วงเวลาอยู่ในห้องทำงานส่วนตัว จู่ ๆ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นสามครั้ง ด้วยความเคยชินเขาจึงตอบรับไป และคนที่เดินเข้ามาในห้องนั้นก็แทบทำให้เขาประหลาดใจจนลุกขึ้นยืน ชายคนนั้นดูท่าทางอายุประมาณสามสิบก
[ข้อความนี้ดึงมาจากจดหมายซึ่งรวบรวมไว้ในหนังสือประวัติชีวิตของ ศ. เดวิด เคลย์มอร์] 56/4 ถนนเคลเวอร์แมน เมืองเซาธ์เบอร์มิงตัน กรุงสแตมป์สัน 16 มีนาคม ค.ศ. 1781 ถึงคุณไรอัน กลาส ผมเกรงว่าในเวลาอีกไม่นานนี้ ผมอาจจะไม่ได้พบหรือพูดคุยกับคุณอีก ตอนนี้ผมประสบกับอาการป่วยสาหัสยากเกินจะรักษา แม้แต่หมอต่างก็ยกมือปรา ท่าทียอมแพ้ คุณอาจจะจินตนาการได้ไม่ยากเย็นนัก ว่าผมนั้นเศร้าโศกโทมนัสจนไร้ความปรารถนาที่จะทำการใด แม้เพียงจะทานยาให้อาการปวดอันทรมานร้านรวด ราวทัณฑ์จากพระเจ้าครั้นชาติปางก่อนนั้นสงบลง ให้พอมีความคิดเฮือกหนึ่งรำลึกปัจจุบันกาลนี้บ้างแต่ก็ไม่ทำ ทว่าด้วยแรงอันน้อยนิด ผมก็ตัดสินใจเขียนจดหมายเล่าประสบการณ์สุดอัศจรรย์ที่ผมเพิ่งได้ประสบมาให้คุณได้ทราบ ผมนอนรักษาตัวอยู่ในห้องนอนของผม หน้าต่างประตูปิดชิดสนิทดี ทว่าในคืนหนึ่ง ผมรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาในราตรีอันสงบเย็น มองดูแสงจันทร์สว่างไสวโดยไร้อาการปวดใด ๆ เพราะยายังคงออกฤทธิ์ ทว่าผมสังเกตเห็นว่าประตูห้องเปิดอยู่ ทีแรกก็เข้าใจว่าเป็นหญิงรับใช้จะมาดูอาการ ทว่าร่างนั้นสูงโย่ง สวมชุดสูทที่ดูแปลกตา เพราะเป็นผ้าอ