ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

นิทานของคุณพาร์กเกอร์เรื่องที่ 1 - เจ้าชายผู้ขลาดเขลา


[ข้อความนี้ดึงมาจากจดหมายซึ่งรวบรวมไว้ในหนังสือประวัติชีวิตของ ศ. เดวิด เคลย์มอร์]




 
56/4 ถนนเคลเวอร์แมน
เมืองเซาธ์เบอร์มิงตัน
กรุงสแตมป์สัน

16 มีนาคม ค.ศ. 1781



ถึงคุณไรอัน กลาส

ผมเกรงว่าในเวลาอีกไม่นานนี้ ผมอาจจะไม่ได้พบหรือพูดคุยกับคุณอีก ตอนนี้ผมประสบกับอาการป่วยสาหัสยากเกินจะรักษา แม้แต่หมอต่างก็ยกมือปรา ท่าทียอมแพ้ คุณอาจจะจินตนาการได้ไม่ยากเย็นนัก ว่าผมนั้นเศร้าโศกโทมนัสจนไร้ความปรารถนาที่จะทำการใด แม้เพียงจะทานยาให้อาการปวดอันทรมานร้านรวด ราวทัณฑ์จากพระเจ้าครั้นชาติปางก่อนนั้นสงบลง ให้พอมีความคิดเฮือกหนึ่งรำลึกปัจจุบันกาลนี้บ้างแต่ก็ไม่ทำ ทว่าด้วยแรงอันน้อยนิด ผมก็ตัดสินใจเขียนจดหมายเล่าประสบการณ์สุดอัศจรรย์ที่ผมเพิ่งได้ประสบมาให้คุณได้ทราบ

ผมนอนรักษาตัวอยู่ในห้องนอนของผม หน้าต่างประตูปิดชิดสนิทดี ทว่าในคืนหนึ่ง ผมรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาในราตรีอันสงบเย็น มองดูแสงจันทร์สว่างไสวโดยไร้อาการปวดใด ๆ เพราะยายังคงออกฤทธิ์ ทว่าผมสังเกตเห็นว่าประตูห้องเปิดอยู่ ทีแรกก็เข้าใจว่าเป็นหญิงรับใช้จะมาดูอาการ ทว่าร่างนั้นสูงโย่ง สวมชุดสูทที่ดูแปลกตา เพราะเป็นผ้าอันประณีตกว่าเครื่องจักรใดจะสามารถทำได้ดีเท่า ประณีตยิ่งกว่าผ้าที่เย็บโดยฝีมือของช่างชื่อดังประจำกรุงเสียด้วยซ้ำไป เขาเป็นชายที่มีดวงตาสีเดียวกับดวงจันทร์ ผมสีเทาเท่ากันทั่วทั้งศีรษะ สวมหมวกสีดำเหมือนชุดอันงดงาม ตอนแรกผมนึกว่ากำลังฝันไป ทว่าผมรู้ว่านี่คือความจริงแน่นอน เพราะขณะนี้ทั่วร่างกายกำลังปวดระบมทมกาย ปวดจนผมกรีดร้องออกมาสุดเสียง ชายผู้น้นเดินเข้ามาแล้วแตะหลังของผม บอกให้ผมหายใจเข้าออกช้า ๆ ทว่าน่ามหัศจรรย์ตรงที่ความเจ็บปวดของผมเริ่มจางหายไป เปรียบดังสายลมพัดใบไม้ให้ปลิวจากถนนเลยก็ว่าได้ ผมหายใจได้สะดวกขึ้นแล้ว เขาก็ปล่อยให้ผมนั่งลง ผมได้พิจารณาใบหน้าของเขาชัด ๆ ก็พบว่าเขาไว้ทรงผมที่แปลกตา

ผมถามว่าเขาเป็นใคร เขาตอบกลับมาเพียงแค่ "ผมชื่อพาร์กเกอร์ อันที่จริง ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเรียกตัวเองว่าอย่างไร แต่ถ้าไม่รังเกียจผมจะเล่านิทานให้คุณฟังสักเรื่อง คุณจะได้นอนหลับ"

ช่างเป็นชายที่แปลกดีแท้ ใช่ไหมครับคุณไรอัน ผมจึงถามเขาว่าเขาเกิดวันที่เท่าไร เขาตอบมาว่า "6 มิถุนายน ค.ศ. 1881" เขาเกิดหลังจากผมไป 170 ปี! เขาเป็นชายข้ามกาลเวลามาหรืออย่างไรกันนี่! ผมอุตส่าห์ทุ่มทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อตามหากาลเวลาตลอดมา แต่ไม่น่าเชื่อว่าตอนนี้ผมได้คำตอบแล้วว่า ต้องรออีกตั้งเกือบทศวรรษหนึ่ง ทันใดนั้นผมก็ร้องไห้ออกมา ผมเศร้าเสียใจในชีวิตของผมเอง ผมไม่อาจมีเวลานานพอที่จะได้พิสูจน์กาลเวลานั้นเลย เพราะขณะนี้ผมได้เพียงตั้งหน้าตั้งตารอมรณสภาพที่ไม่อาจคาดเดาได้เลย

ผมจึงถามเขาว่า "คุณรู้หรือเปล่าว่าผมจะตายเมื่อไหร่?"

ชายที่ชื่อพาร์กเกอร์กล่าวว่า "ก็ไม่อาจรู้ หรือผมก็คงต้องรักษากฎว่าห้ามบอกอนาคตให้แก่คนที่ผมจะมอบนิทานด้วย"

เขาใช้คำว่า 'มอบนิทาน' ราวกับมันคือของขวัญอย่างไรอย่างนั้น ทว่าเขาก็บอกผมว่าจะเล่านิทานให้กับผมฟังเรื่องหนึ่ง



"ย้อนกลับไปในสมัยที่ประเทศนี้ยังคงมีลำดับศักดินา ราชวงศ์หนึ่งมีพระราชาและราชินีอันทรงปกครองโดยธรรม ทว่ากลับมีโอรส หรือเจ้าชายที่ครั้นจะให้เรียนศิลปะการต่อสู้ก้ได้ที่โหล่ ครั้นจะให้ลองการปกครองก็ไม่มีแวว ครั้นพระราชาตัดใจส่งให้พระโอรสไปเรียนด้านศิลปวิทยาการก็ไม่ได้เรื่องได้ราว พระราชาและพระราชินีก็ทรงกลุ้มพระทัยเป็นอย่างมาก จึงบอกแก่พระโอรสเพียงคนเดียวว่า

'ลูกรัก เจ้ารู้หรือไม่ว่า ณ ถ้ำหลังภูเขาอันห่างไกลโน้น เป็นแหล่งที่อยู่ของวิญญาณชั่วร้าย ที่มันรอเวลามาเกือบพันปี หลบหนีจากโอวาทของพระเจ้ามาหลายครั้งหลายครา และฟูมฟักตัวเองเพื่อรอจะทำลายเมืองและโลกใบนี้ พ่อมีภารกิจให้แก่เจ้า หากเจ้าสามารถปราบจอมมารนั้นได้ เท่ากับว่าเจ้าได้ช่วยเหลือโลกใบนี้ เจ้าจะได้เป็นใหญ่ในโลกนี้และโลกหน้า และเจ้าจะได้สืบทอดราชบัลลังก์นี้โดยไม่มีเงื่อนไข'

พระโอรสหรือเจ้าชายได้ฟังก็ทรงหวั่นในหฤทัย เกรงกลัววิญญาณร้ายตามคำบอกเล่าซึ่งมีสามสิบตา สามสิบมือ ปากอันใหญ่โต ร่างกายที่เปรียบเหมือนหมอกคลุ้งไม่อาจจะจับมันได้โดยง่าย และเมื่อทรงทราบว่ามันมีแผนการจะยึดโลกใบนี้ให้มีแต่ความชั่วร้ายด้วยแล้วก็เกิดขี้ขลาดตาขาว ร้องบอกพระราชบิดาว่ามิหาญกล้าจะทำเช่นนั้น พระราชาและพระราชินีก็กลุ้มใจเห็นแบบนั้นจึงได้เสนอไปดังนี้:

'ลูกรัก การเดินทางครั้งนี้จะมิเปล่าเปลี่ยว พ่อมีเจ้าหญิงองค์หนึ่งจากเมืองที่อยู่ข้างกัน นางเก่งกาจในการรบและอาวุธ โดยเฉพาะอ่ย่างยิ่งคือดาบ อีกทั้งมีอัศวินคู่ใจของพ่อ อาชาไนยที่มีศักยภาพเป็นหนึ่งยิ่งกว่าของผู้ใดในโลก ทั้งนกพิราบที่สามารถแจ้งข่าวได้ทันท่วงที เจ้าไม่ต้องกลัวไป หนทางสู่ชัยชนะอันยิ่งใหญ่นี้สามารถสำเร็จได้โดยง่ายอย่างแน่นอน'

เจ้าชายได้ฟังเช่นนั้นก็วางใจลงได้เปลาะหนึ่ง ดังนั้น เจ้าชาย เจ้าหญิง อัศวิน ม้าอาชาไนย และนกพิราบส่งข่าวก็ไดออกเดินทางจากปราสาทอันเป็นบ้านเดิมของเจ้าชาย มุ่งไปยังถ้ำอันมีเสียงลือเลื่องว่าเป็นที่อยู่ของวิญญาณร้ายโดยทันที

เมื่อสหายนักรบเดินทางเข้าป่าไปในยามเย็น เมื่อค่ำก็ได้หยุดพักแรมก่อน เจ้าชายสังเกตเห็นดวงตาสีเหลืองทองสุกสกาวอยู่บนคาคบไม้ก็ผวาร้องสุดเสียงแทบวิ่งหนีสติหล่นหายเตลิดเปิดเปิง เจ้าหญิงเห็นเช่นนั้นก็รีบยั้งเจ้าชายไว้พร้อมบอกว่า 'องค์ชาย อย่ากลัวไปเลย นั่นมิใช่ผีหรือซาตาน มันเป็นแค่นกฮูก' ว่าจบนางก็ยกคบเพลิงไปใกล้ๆ คาคบไม้ ก็พบเพียงนกฮูกที่มองมาก่อนจะบินหนีไป

เมื่อกลางวันมาถึง สหายนักรบก็ออกเดินทางต่อ เจ้าชายสังเกตเห็นว่ามีเงาตะคุ่ม ๆ อยู่หลังต้นไม้หนึ่ง เมื่อจ้องไปก็พบว่าเป็นสัตว์ป่าร่างกำยำสีน้ำตาล ใช่แล้ว มันคือหมี เจ้าชายร้องสุดเสียง กระโดดจากม้าเผือกคู่ใจกลิ้งลงบนพื้นพลางจะวิ่งหนี ทว่าเมื่อหันไปดูก็พบว่าอัศวินก็ตั้งใจคว้าดาบเหล็กส่องประกายแวววาวคู่แสงอาทิตย์ จู่โจมใส่หมีที่ตัวโตเกือบเท่าต้นไม้โดยมิขลาดกลัว เจ้าชายมองดูอัศวินปัดป้อง ตัดแขน ตัดขา ฟันท้องและคอของมันจนล้มลงไป อัศวินจึงพูดกับเจ้าชายว่า 'พระโอรส หากท่านมองหมีป่าเป้นสัตว์ตัวโต ท่านก็ทรงได้แต่กลัวอยู่เท่านั้น แต่หากท่านมองว่ามันเป็นแค่สัตว์ป่าตัวเล็ก มันก็จะไม่น่ากลัวแต่อย่างใดเลย'

เมื่อราตรีมาถึงอีกครั้ง สหายนักรบก็หยุดพักอีกครั้ง ครั้งนี้ขณะที่เจ้าชายกำลังเสด็จพระบรรทม ก็เกิดได้ยินเสียงคำรามของสัตว์ป่ามาแต่ไกล...ใช่แน่ ๆ นั่นคือเสือแน่นอน! เจ้าชายเกิดขลาดกลัวก็ขดตัวนอนสั่น แต่แล้วม้าอาาชาไนยและนกพิราบก็ตื่นขึ้น รีบตะโกนกู่ร้องเสียงดังจนเจ้าหญิงและอัศวินตื่น เมื่อตื่นก็ยกคบเพลิงมาดู เห็นหลังของเสือวิ่งเตลิดไปแล้ว

นกพิราบที่พูดได้ก็กล่าวแก่เจ้าชายว่า 'พระโอรส วิธีกำจัดความขลาดไม่มีอะไรมากเลย เพียงท่านส่องแสงให้สว่างที่สุด สร้างกายให้ใหญ่ที่สุด และมั่นใจในชัยชนะให้มากที่สุดเท่านั้นพะยะค่ะ'

จากนั้นในตอนกลางวัน เจ้าชาย เจ้าหญิง อัศวิน ม้าอาชาไนย และนกพิราบก็มายังถ้ำอันเป้นที่อยู่ของวิญญาณร้ายแล้ว เจ้าชายนึกหวั่นอยู่ในอกจนไม่กล้าเข้าไป เจ้าหญิงจึงเสนอว่า 'เจ้าชายมิต้องกลัวไปเพคะ ท่านเพียงแค่ฟังเรา แล้วบอกกับนกพิราบให้ส่งข่าวไปก็พอ' เจ้าชายได้ฟังก็ตอบตกลงจึงรออยู่ภายนอกถ้ำ เจ้าหญิง อัศวิน และม้าอาชาไนยก็เดินเข้าไปในถ้ำ...เข้าไปเรื่อยๆ จนในที่สุดเจ้าชายก็ไม่เห็นแม้เพียงเงา

เจ้าชายนั่งรออยู่ ณ ปากถ้ำ หูก็สดับฟังเสียงการต่อสู้อันดุเดือดของทั้งเจ้าหญิงและอัศวิน ทว่าไม่นานเสียงนั้นก็เงียบไป เจ้าชายทรงหวั่นพระทัยเป็นอย่างมากจึงบอกแก่นกพิราบว่า 'ข้าจะเข้าไปดูข้างใน หากข้าออกมาให้แปลว่าข้าชนะแล้ว' ซึ่งนกพิราบก็รับคำแต่โดยดี

เจ้าชายทรงชั่งใจอยู่นาน ไม่กล้าเยื้องย่างเข้าไปในความหวาดกลัวนั้น แต่ก็นึกถึงคำกล่าวของนกพิราบได้ว่า 'เพียงส่องแสงให้สว่างที่สุด สร้างกายให้ใหญ่ที่สุด และมั่นใจในชัยชนะให้มากที่สุดเท่านั้น' เจ้าชายนึกดังนั้นจึงหาทางจุดคบเพลิงขึ้น หายใจเข้าลึกๆ ทรงบอกกับตนเองว่าทุกคนจะไม่เป็นอะไร

ทางเข้าถ้ำนั้นเริ่มลึกและเริ่มแคบ อากาศน้อยจนไม่เหมาะสำหรับจะจุดคบเพลิงอีกต่อไป เจ้าชายทรงหวั่นกลัวเมื่อในที่สุดก็พบกับโถงกว้างข้างใน เห็นแสงสว่างที่ผุดขึ้นจากกลุ่มควัน แสงสว่างสีแดงชาดจากดวงตาสามสิบดวง มือสองข้างจากทั้งสามสิบข้างอุ้มเจ้าหญิงและอัศวินไว้ในือ ปากนั้นอ้ากว้างกำลังจะเขมือบร่างของหญิงและชายที่ยอมสละชีวิตเพื่อตัวเขา เพื่ออาณาจักร เพื่อโลก เจ้าชายรู้สึกหวาดกลัวจนทำคบเพลิงหล่นบนพื้น แสงสว่างได้หายไปแล้ว เจ้าชายทำได้เพียงร้องไห้ นั่งบนพื้นอย่างหวาดกลัว โอดครวญอย่างคับแค้นใจ 'เจ้าปีศาจชั่ว เจ้าทำแบบนี้ไปเพื่ออะไรกันเล่า?'

วิญญาณร้ายซึ่งเป็นกลุ่มหมอกใหญ่โตก็กล่าวว่า 'ข้านั้นต้องการเห็นโลกโสมมนี้ดับสลายไปเท่านั้นเอง เจ้ามิเห้นหรืออย่างไร? แม้เจ้าศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้า แต่แท้จริงเจ้าก็เพียงแค่ขลาดเขลากับอำนาจที่เจ้ามิอาจพิสูจน์ได้เท่านั้น เจ้าแค่กลัวความตาย เจ้าแค่กลัวความมืด เจ้าแค่กลัวสายตาคนอื่น เจ้าจะทำอะไรได้อีกเล่า ในเมื่อเรานั้นก็เกิดจากความเขลาเหล่านั้น ก่อตัวเป็นรูปร่าง และจักครอบงำพวกเจ้าทุกคนก็เท่านั้นเอง'

เจ้าชายได้ทรงสดับฟังดังนั้นก็ทรงระลึกได้ในทันทีว่า ตัวเจ้าชายเองนั้น ทรงเป็นแค่คนที่ขลาดกลัวกับโลกเบื้องหน้าเท่านั้น ที่ไม่อาจมองเห็น สัมผัส เคารพ หรือแม้แต่จะพยากรณ์ได้ ท่านทรงเข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดการเอาชนะความกลัว จึงต้องส่องแสง จึงต้องใหญ่โต จึงต้องมั่นใจ



นักเล่านิทานหยุดเล่าไป เขานั่งนิ่งอยู่นานในแสงจันทร์ เขานั่งข้างผมอยู่อย่างนั้น เมื่อผมถามว่าทำไมจึงหยุดเล่า เขาก็ตอบมาเพียงแค่

"ผมอยากให้คุณลองคิดดูว่า เจ้าชายจะหลีกหนีจากความเขลา จากความกลัว จากความไม่รู้ได้หรือไม่ เพราะนิทานเรื่องนี้เป้นของคุณเอง"

และแล้ว เขาก็ถอดหมวกออก เผยให้เห็นว่าเส้นผมนั้นเป็นสีเทาราวนำเงินมาถักทอ ส่องประกายวิบวับดูแปลกประหลาด เขายิ้มให้กับผมก่อนจะยืนขึ้น โค้งคำนับด้วยความเคารพ และก่อนจะเดินจากไป เขาได้กล่าวแก่ผมว่า

"หากคุณไม่หวาดกลัวต่อความมืดนี้ ทุกที่จะมีแสงสว่างให้คุณเสมอครับ"

ผมนั่งนึกในราตรีอยู่นานพอดู นึกสงสัยว่านี่คือความฝันหรือไม่ หากไม่ใช่ แล้วจะเป็นไปได้อย่างไรกันเล่า...ผมเริ่มมองออกไปข้างนอก มองเห็นดวงดาวทอแสงระยิบระยับก็นึกไปว่า มิใช่เพราะความขลาดเขลาหรอกหรือที่ทำให้เราเริ่มต้นค้นหาว่าความจริงคืออะไร มองเห็นมือตัวเองก้นึกไปว่า มิใช่เพราะความขลาดเขลาหรอหรือี่ทำให้เราก้าวผ่านอุปสรรค มองไปยังผนังตรงปลายเตียงก็นึกไปอีกว่า มิใช่เพราะความขลาดเขลาหรอกหรือที่ทำให้เราเริ่มต้นหาเหตุผลจนเป้นตัวเราได้อย่างวันนี้...ผิดแล้วล่ะ นักเล่านิทาน เจ้าชายมิได้ขลาดเขลา แต่ท่านแค่ทรงไม่อาจเข้าพระหฤทัยคำพูดของนกพิราบได้ว่าแสงสว่างคืออะไร ความยิ่งใหญ่คืออะไร ความมั่นใจคืออะไร

เพราะนั่นคือรากฐานของทุกสิ่ง...มิใช่เฉพาะการเมือง วิทยาศาสตร์ ปรัชญา ประวัติศาสตร์ แต่หมายถึงตัวเราเอง แต่ผมก็คงเข้าใจถูกแล้ว คำพูดของนักเล่านิทานได้บอกไว้แล้วครับว่า "หากคุณไม่หวาดกลัวต่อความมืดนี้ ทุกที่จะมีแสงสว่างให้คุณเสมอ" คุณไรอัน คุณคิดว่าอย่างไรบ้างครับ?

ณ ขณะนี้ ผมไร้ซึ่งความหวาดกลัวแล้ว อาการเจ็บปวดนั้นก็หายไปมาก แต่สุดท้ายแล้วผมก็คงมีชีวิตต่อไปได้ไม่นานนัก ทว่าเมื่อผมมองเห็นความเวทนาจากหน้าต่าง ซึ่งฉายภาพชุมชนกรรมกร เหล่าโสเภณีที่ทำงานข้างถนน ช่างขัดรองเท้าขี้เมา สาวโรงงานที่ถูกสามีทำร้าย ฝูงสุนัขที่กัดกัน ผมก็ได้เห็นในมุมมองที่ต่างออกไป...พวกเขาต่างหวาดกลัวในชีวิตทั้งนั้นนี่

สุดท้ายนี้ ผมอยากจะพาคุณไรอันไปพบกับนายพาร์กเกอร์คนนั้น ให้เขาเล่านิทานอีกสักสองสามเรื่อง ทิ้งปริศนาให้แก่คุณอีกสักเรื่อง บางทีในอีก 170 ปีข้างหน้า ผมอาจเป็นพ่อของเขา หรือคุณอาจเป็นพ่อของเขาก็ได้ เพราะเขาช่างหน้าตาเหมือนคุณมากเหลือเกิน

ผมตั้งตารอที่จะพบกับคุณบนสรวงสวรรค์นะครับ




เดวิด เคลย์มอร์




 

ความคิดเห็น