ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

นิทานของคุณพาร์กเกอร์เรื่องที่ 2 - โจรขโมยเงา





หากโทรศัพท์ดังขึ้นในคราวใด นั่นหมายความว่าต้องมีเรื่องเกิดขึ้นทุกครั้งไป

จอห์นยกหูโทรศัพท์ขึ้นมา เขาถามอีกฝ่ายว่ามีธุระอันใด ทว่าคำตอบนั้นกลับแปลกประหลาดเสียจนเขาเกือบจะเผลอกดวางสาย ปลายสายบอกเพียงว่า ‘ถ้าแกคิดจะทำแบบนี้อีก สักวันหนึ่งแกจะต้องจบเห่แน่’ และสายก็ตัดไปเสียอย่างนั้น

จากสายที่เขาคิดว่าอาจจะเป็นการก่อกวนจากพวกโรคจิต ก็เริ่มถี่ขึ้น...จากหนึ่งอาทิตย์ต่อหน เป็นทุกสามวัน ทุกสองวัน ทุกวัน และทุกหนึ่งชั่วโมง...ทว่าเมื่อจอห์นติดต่อตำรวจให้หาตัวการ กลับพบว่าความน่าพิศวงของกาลเวลานั้น เพราะเขาพบว่าคนที่โทรศัพท์มาก่อกวนนั้นคือหลานชายของนักธุรกิจจากบริษัทคู่แข่งซึ่งเคยมีปัญหากับบริษัทเขาเมื่อสมัยรุ่นพ่อ แต่ก็น่าแปลกที่ความแค้นตั้งแต่ครั้นก่อนกลับเป็นเขาที่ต้องรับผลนี้แทน และเขาก็ไม่อาจเข้าใจได้เลยว่าเพราะเหตุใดชายผู้นั้นจึงคิดแค้นตระกูลเขายาวนานขนาดนี้

คืนหนึ่ง จอห์นกำลังนั่งทำงานล่วงเวลาอยู่ในห้องทำงานส่วนตัว จู่ ๆ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นสามครั้ง ด้วยความเคยชินเขาจึงตอบรับไป และคนที่เดินเข้ามาในห้องนั้นก็แทบทำให้เขาประหลาดใจจนลุกขึ้นยืน

ชายคนนั้นดูท่าทางอายุประมาณสามสิบกว่าปี แต่ดูแก่กว่าอายุจริงไปมากเพราะชุดสูทเก่า ๆ เหมือนเสื้อผ้าจากยุคแปดสิบ ซึ่งเป็นชุดสูทมีเสื้อโค้ทตัวยาว ผูกโบหูกระต่าย สวมรองเท้าหนังสีดำเหมือน ๆ กับสีของทั้งชุด หมวกสีดำทรงเรียบ ๆ ยิ่งทำให้ดูเหมือนตัวตลกเข้าไปใหญ่ จอห์นอยากจะเดินเข้าไปแล้วบอกว่าที่นี่เป็นสำนักงาน มิใช่ร้านถ่ายรูปแต่งงาน แต่เมื่อชายคนนั้นถอดหมวกแล้วค้อมตัวลงมา เขาก็เริ่มรู้สึกหนาววาบ

“สวัสดีครับ คุณจอห์น แอบบ็อทส์ เรียกผมว่าพาร์กเกอร์ก็ได้ เพราะพวกเราก็อายุเท่ากันอยู่แล้ว”

ชายคนนั้นรู้จักชื่อของเขาได้อย่างไร นี่คือสิ่งที่จอห์นสงสัย ทว่าคำตอบนั้นเขาก็ได้รับมาโดยทันที

“ผมคิดว่าคุณอยากจะได้คำตอบจากปัญหาที่คุณเพิ่งได้พานพบมา อาจจะผิดกฎไปเสียหน่อยแต่ผมต้องบอกให้คุณทราบ เพื่อให้คุณได้กระจ่างว่า เหตุใดคุณทักเกอร์จึงได้คิดร้ายกับคุณมาถึงสามชั่วคน”

จอห์นยืนนิ่ง รู้สึกหนาวเฉียบ ปากของเขาที่กำลังจะบอกให้เขาออกไปก็เริ่มชา เขาจึงถามเสียงดังเพื่อข่มขวัญ

“คุณเป็นใครกันแน่...”

“อาจจะเสียมารยาทไปสักหน่อย แต่ขอให้ผมได้มอบนิทานแก่คุณสักเรื่องหนึ่งก่อน แล้วคุณจะเข้าใจเอง”

นายพาร์กเกอร์คนนั้นพูด จอห์นไม่อาจจะเข้าใจอะไรได้อีกจึงพยักหน้าแล้วเชิญให้เขานั่งบนโซฟา ทั้งสองประจันหน้ากัน แขกยามวิกาลคนนี้ช่างลึกลับเสียจนเขาไม่อาจจะจับความหรือคาดเดาอะไรได้เลย

และแล้วคุณพาร์กเกอร์ก็เล่าเรื่องเรื่องหนึ่งให้ฟัง:






ย้อนกลับไปในสมัยหนึ่ง สมัยนั้นผู้คนต่างตั้งใจทำงานเป็นอย่างมากเพื่อให้มีชีวิตที่ดี เหล่ากรรมกรต่างก็ใฝ่ฝันจะเป็นเศรษฐีรุ่นใหม่แห่งยุค ซึ่งก็มีบ้างที่ประสบความสำเร็จและล้มเหลว เหล่านักธุรกิจต่างก็พยายามไต่เต้าเพื่อให้เป็นใหญ่ในด้านการค้า เพื่อให้ธุรกิจของตนเป็นศูนย์กลางความยิ่งใหญ่ เหล่าขุนนางในสมัยนั้นก็พยายามไต่เต้าเพื่อให้ได้เป็นขุนนางชั้นสูงยิ่ง ๆ ขึ้นไป เพราะชีวิตอันสุขสบายนั้น ไม่ว่าใครก็ใฝ่ฝัน


ครั้งนั้นยังมีชายหนุ่มคนหนึ่ง เขาไม่มีการงานเป็นหลักแหล่ง เพราะเมื่อเขาไปทำงานที่โรงงานแห่งใดก็ถูกไล่ออกตลอด เหตุเพราะเขานั้นมักจะก้าวร้าว ไม่ยอมใคร อีกทั้งยังทำร้ายเพื่อนร่วมงานทุกคนที่เข้ามามีปัญหาด้วย


ชายหนุ่มผู้นี้อาศัยอยู่กับพี่น้องซึ่งเป็นชายทั้งหมดสี่คน เขาเป็นน้องชายคนรอง พ่อและแม่ของเขาก็เสียไปแล้ว เหล่าพี่ ๆ ก็มีงานมีการ มีครอบครัวกันหมดแล้ว ยิ่งเมื่อเขาประกาศตัวว่าจะอยู่แต่ที่บ้านไม่ทำอะไร ก็ทำให้เหล่าพี่ชายและพี่สะใภ้ไม่พอใจอีก เขาจึงยิ่งโมโหร้ายและมักจะขโมยเงินจากที่บ้านไปดื่มเหล้าในร้านตลอด



ชายหนุ่มได้ไปทำงานเป็นพนักงานทำความสะอาดในร้านเหล้า ครั้งหนึ่งขณะที่เขากำลังถูกพื้นซึ่งอยู่ด้านหลังร้าน เขาพบกับชายเมากำลังถูกพวกอันธพาลทำร้ายอยู่หลังร้าน ชายหนุ่มเห็นดังนั้นก็รู้สึกโกรธเกรี้ยวจึงเดินเข้าไปหาเรื่องอันธพาลทั้งสามคน แต่สุดท้ายเขาก็โดนเตะต่อยไปอีกคน




ในช่วงที่อันธพาลทั้งสามเดินจากไป ชายหนุ่มได้เอื้อมมืออกไปเพื่อจะจับขาของอันธพาลคนหนึ่ง ทว่าสิ่งที่เขาคว้ามาได้คือผ้าสีดำผืนหนึ่งซึ่งยาวเหมือนร่างของอันธพาล...ชายหนุ่มกระชากผ้าผืนนั้นออกมาเรื่อย ๆ ด้วยความสงสัย จนเมื่อดึงมาที่ตัวเองได้ก็พบว่าชายอันธพาลคนนั้นล้มลงบนพื้นเสียแล้ว...




หลังจากชายหนุ่มได้ค้นพบว่าตัวเองมีพลังที่สามารถกระชากผืนเงาของผู้อื่นได้ นับตั้งแต่นั้น เขาจึงยึดอาชีพใหม่ที่สุ่มเสี่ยงและผิดกฎหมาย --- การเป็นโจรขโมย เขาเริ่มจากการปล้นคนเมาที่เดินทางในถนนตอนกลางคืน อาศัยจังหวะที่คนเดินผ่านแสงไฟข้างทางก็รีบกระชากเงาเอามา ให้เหยื่อล้มลงไปนอนบนพื้น แล้วจึงล้วงเอาทรัพย์สินที่มี




แต่เมื่อนานเข้า เขาก็เห็นว่าการปล้นฉกของจากคนเมาพวกนี้ได้เงินน้อย จึงเปลี่ยนเป้าหมายไปเป็นการย่องเบาเข้าบ้านทันที ซึ่งก็ไม่ยากอะไรนัก หากถูกจับได้ ทุกคนก็มักจะคว้าเทียนหรือแสงไฟมาส่องอยู่แล้ว และเขาจะอาศัยจังหวะนั้นฉกชิงชีวิตของจ้าของบ้านทันที หากไม่เป้นไปตามกรณีดังกล่าว ก็อาจจะต้องลงไม้ลงมือบ้าง




ครั้งนี้ก็เช่นกัน --- ชายหนุ่มขึ้นมายังบ้านของผู้มีอันจะกินหลังหนึ่ง ซึ่งไม่มีอะไรที่ต้องเป็นห่วงเพราะเขาทำมาแล้วหลายครั้ง ขระที่กำลังเดินไปตามโถงทางเดิน ซึ่งมีหน้าต่างที่ฉายแสงจันทร์วันเพ็ญเข้ามาภายใน ขณะที่เขากำลังจะเดินต่อไปปเรื่อย ๆ ก็พบว่า เงามืด ณ ภายหน้านั้นกำลังเดินมา และเมื่อร่างนั้นหยุดยืนตรงหน้าต่าง ชายหนุ่มก็พบว่าเป็นเงาของชายที่สวมชุดสีน้ำตาลเหมือนกัน กางเกงปอน ๆ เหมือนกัน ทั้งทรงผมและใบหน้าก็เหมือนกันกับเขาราวกับเป็นฝาแฝด…




ชายหนุ่มไม่เข้าใจว่าสิ่งที่เขาเห็นเป็นความจริงหรือความฝัน ทว่าเมื่อชายที่หน้าตาเหมือนเขาได้กล่าวขึ้น เขาจึงเข้าใจได้ทันที



“อย่าตกใจไปเลย เพราะถึงอย่างไรผมก็คือคุณ คุณก็คือผม”




ชายผู้นั้นยังคงยืนอยู่ตรงนั้น ก่อนที่จะเดินหายไปในความมืดมิด แม้ชายหนุ่มจะตามหาสักเท่าไหร่ก็ไม่เจอ วันนั้นจึงเป็นวันแรกที่เขาตัดสินใจเลิกล้มทำการปล้นบ้าน




เขาได้ลองขึ้นไปยังบ้านของชายผู้มั่งมีอีกคนหนึ่ง คราวนี้แม้ไม่มีแสงไฟใดส่องเข้ามาเนื่องจากเป็นฤดูร้อน แต่แล้ว เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลังของเขา ก็ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกหวาดผวาจนล้มลงไปกองบนพื้น เขาควานหาทางออกอย่างสะเปะสะปะจนเขาสัมผัสได้กับขั้นบันไดในความมืด เขาคลำไปตามบันไดเพื่อลงไปด้านล่าง แต่แล้วก็ต้องสะดุดลงเมื่อพบว่า ที่ทางเข้าของบ้านนั้น...ท่ามกลางแสงไฟอันสลัวยังมีชายผู้หนึ่งยืนจ้องมองเขาอยู่...ชายผู้นั้นสวมชุดเหมือนกับเขา ดวงตาก็เหมือนกับเขา และรอยยิ้มที่บ่งบอกถึงชัยชนะก็เหมือนกับเขาทุกประการ



ในที่สุดแสงไฟก็ถูกจุดขึ้นท่ามกลางบ้าน ชายเจ้าของบ้านพร้อมลูกเมียต่างเห็นว่าชายผู้นั้นกำลังเกาะราวบันไดอยู่ ท่าทางหวาดผวาและร้องไห้ พร้อมบ่นตลอดเวลาว่ากำลังมีคนจะมาทำร้าย ทว่าชายหนุ่มผู้ขโมยเงาก็ถูกจับไปในข้อหาลักทรัพย์ เขาถูกสังคมพูดถึงในฐานะชายผู้เสียสติและประหลาดเหนือขั้น เพราะเมื่อตำรวจเข้าไปค้นหาของกลางที่ว่า สิ่งที่พวกเขาพบนั้นคือผืนผ้าสีดำสนิทขนาดเท่าคนในรูปลักษณ์ต่าง ๆ กัน ซุกอยู่ใต้เตียงในบ้านของชายหนุ่ม ท่ามกลางความประหลาดใจของพี่น้องและญาติมิตรซึ่งไม่มีเข้าใจได้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร...’








นักเล่านิทานหยุดเล่าแต่เพียงเท่านี้ จอห์นซึ่งยังหาวหวอดเมื่อรู้สึกว่าเงียบนานเกินไปจึงถามขึ้น “อ้าว จบแล้วหรือ?”


นายพาร์กเกอร์พูดขึ้น “ต่อจากนี้คุณคงสงสัยแล้วว่า ชายที่เขาเจอ ซึ่งมีรูปร่างเหมือนเขาทุกประการ ปรากฏในทุกห้วงเวลาเมื่อเขาจะทำการโจรกรรมใด ๆ เขาคนนั้นคือใคร แต่ผมคงตอบไปไม่ได้มากกว่านี้ว่าทำไม เพราะสุดท้ายก็มีเพียงคุณเท่านั้นที่รู้ดีว่าเพราะเหตุใดจึงทำไปเช่นนั้น”


ว่าแล้วเขาก็ลุกขึ้นยืนตั้งท่าจะเดินไปเปิดประตู ชายนักธุรกิจที่กำลังงงงวยก็เปลี่ยนมาฉุนเฉียว เขาลุกขึ้นแล้วตวาดไล่หลัง


“เดี๋ยวก่อน” จอห์นว่า “ไหนคุณบอกว่าคุณจะให้คำตอบกับผมไง ว่าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไง นี่แกเป็นพวกลวงโลกหรืออย่างไรกัน?”


ชายในชุดสูทโบราณหันมามองก่อนที่จะสวมหมวกกลับเข้าไป ดวงตาสีเทานั้นเย็นเยียบราวหิมะในเดือนมกราคม


“ผมขอเสริมอีกสักนิดก็ได้ว่า --- ชายในนิทานคนนั้น แท้จริงแล้วเขาไม่ได้มีเพียงคนเดียวครับ และอีกคนที่ไม่ได้ถูกจับ ก็อยู่กับคุณนั่นเองครับ”


มือซึ่งสวมถุงมือสีขาวสะอาดจับราวจับประตู ผลักมันให้ออกไปก่อนที่จะเดินออกไปเงียบ ๆ ทิ้งให้หัวใจที่ระส่ำของจอห์นดังก้องอยู่ในประสาทยามเมื่อเขาเห็นเงาที่พาดผ่านไปด้านหลัง

เขาต้องไปหาตัวการของความวุ่นวายในคราวนี้ เพื่อสอบถามถึงเรื่องความนั้น


และต้องทำอะไรสักอย่าง


ความคิดเห็น